หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เผาศพแม่เฒ่า94 เก็บกระดูกพบกลายเป็นแก้ว-หยก


วันที่ 8 ก.ค. 58 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ตรวจสอบที่บ้าน หมู่ 4 บ้านโพนขวาว ต.จิกดู่ อ.หัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ หลังจากมีข่าวลือว่ากระดูกของแม่เฒ่าวัย 94 ปี หลังจากประกอบพิธีเผาทางศาสนาแล้ว ลูกหลานเก็บกระดูกออกมาเป็นแก้วและหยก พบชาวบ้านและบุตรหลานที่ทราบข่าวนั่งมุงดูกระดูก ที่มีรูปร่างต่างๆ พร้อมทั้งวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นกระดูกคนมีบุญ ต่างก็ขอนำไปกราบไหว้ เพื่อเคารพบูชา

 นายประชิต แสนสม อายุ 62 ปี ข้าราชการบำนาญ หลานชาย บอกว่า กระดูกที่กลายเป็นแก้วและหยก คือ กระดูกของนางสี สิงห์เทา อายุ 94 ปี อยู่หมู่ 4 ต.จิกดู่ อ.หัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ อายุ 94 ปี ได้เสียชีวิตลง เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. ที่ผ่านมา ฌาปนกิจศพที่เมรุวัดโพนขวาว วันที่ 29 มิ.ย. ที่ผ่านมา และเก็บกระดูกวันที่ 1 ก.ค. เพื่อนำมาทำบุญตามประเพณี


 แต่ขณะเพื่อนบ้านและบุตรหลานทำพิธีเก็บกระดูกตามปกติ พบว่ากระดูกส่วนใหญ่มีสีขาวโพลน กระดูกนับ 10 ชิ้น เป็นรูปร่างต่างๆ มีสีขาวใส เหมือนแก้วและหยก ทำให้ผู้พบเห็นต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นกระดูกของคนมีบุญ แบ่งกระดูกไปเพื่อกราบไหว้ ซึ่งปกติคุณยายสี เมื่อยังมีชีวิต ชอบทำบุญปฏิบัติธรรม แม้แต่ขณะล้มป่วย ยังให้บุตรหลานขึ้นมาตักบาตรพระ ก่อนจะเสียชีวิต

 นายประชิตยังบอกว่า ผู้ที่มีกระดูกเป็นแก้ว มีแต่ผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทั้ง กาย วาจา และใจตรงกัน

ข้อมูลจาก http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1436330198

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

บุคคลยุคต้นวิชชา ตอนที่ 2


🌟บุคคลยุคต้นวิชชา ตอนที่ 2🌟
🌟ไอ้จุลณีมึงรู้หมด ชาตินี้มึงจะขนาดไหนวะนี่ แล้วท่านก็บอกว่า ผู้สืบทอดจะมาเรียนวิชชาของหลวงพ่อ มาทำวิชชาต่อเพื่อไม่ให้มารมาลบล้างวิชชาของหลวงพ่อ วิชชาจะไม่มีวันหมด
ตรงนี้มันคือรอยต่อ ถ้าหากว่าไม่มีใครสืบทอด วิชชาหลวงพ่อก็จะหมด เพราะมารมันบังหมด นอกจากหลวงพ่อต้องกลับมาเกิดอีก แล้วมาทำวิชชาอีก ถ้าหากว่า ตรงนี้รอดพ้นจากมารไปได้เราก็ไม่ต้องเกิดอีกแล้ว
ท่านพูดอย่างนี้นะ ท่านบอกว่า ต้องไปนิมนต์มาจากชั้นดุสิต คนนี้เป็นคนที่มีบุญญาธิการ ผิวจะดีมาก รูปร่างดี หน้าตาจะสวยมากอย่างกับเทพบุตร แล้วองค์นี้จะเผยแผ่วิชชาธรรมกายไปทั่วโลก และจักรวาลเลย
ผู้สืบทอดจะมาสร้างสถานที่ที่ไม่ค่อยจะเหมือนวัดไทยเท่าไหร่ แต่คนทั้งโลกจะเข้าใจได้ว่า เป็นสถานปฏิบัติธรรม คนจะมากันมาก มาทำวิชชา มากันทั่วโลก เราจะเป็นแม่ทัพใหญ่ในฝ่ายขาว สถานที่นี้จะอยู่ทางทิศเหนือไม่ใกล้ไม่ไกล พอไปพอมาจากวัดปากน้ำ องค์นี้จะมารับวิชชาจากหลวงพ่อไป
แล้วท่านก็บอกว่า พ่อนี้อยู่ไม่ทันหรอก อยู่ไม่ถึงจังหวะนั้น แล้วหลวงพ่อก็ยังหันมาทางผมด้วยว่า ให้เราเร่งทำวิชชาด้วยจะได้ช่วยเขา วิชชาของหลวงพ่อจะได้สำเร็จลุล่วงไปได้
🍀เล่าเรื่องโดย พระเตชะวัน อาภากโร อดีตสามเณรจุลณี

หลวงพ่อดีเนาะ..ผู้มองโลกในแง่ดี


มีหลวงพ่อองค์หนึ่ง ซึ่งเลื่องลือกันว่าว่า เป็นพระที่มีแต่ความสุข ไม่เคยมีความทุกข์ วันหนึ่ง โยมมานิมนต์ท่านไปเทศน์ที่บ้าน บอกท่านว่าจะมารับแต่เช้า หลวงพ่อก็นั่งรอจนสายโยมก็ไม่มาสักที ท่านจึงว่า "ไม่มา ก็ดีเหมือนกันเนาะ เราฉันข้าวของเราดีกว่า" ท่านฉันข้าวได้ไม่กี่คำ โยมก็มารับพอดี กราบกรานขอโทษที่มาช้า เหตุเพราะว่ารถเสีย หลวงพ่อจึงหยุดฉัน "ก็ดีเนาะ ไปฉันที่งานเนาะ"
หลวงพ่อนั่งรถไปได้สักพัก เครื่องรถก็ดับ คนขับบอก "รถเสียครับ" หลวงพ่อก็ว่า "ดีเนาะ ได้หยุดพักชมวิวเนาะ" คนขับง่วนอยู่กับรถพักใหญ่ ทำอย่างไรเครื่องก็ไม่ติด จึงออกปากขอร้องให้หลวงพ่อช่วยเข็นรถ ความจริงหลวงพ่อก็แก่แล้ว ข้าวก็ฉันได้ไม่กี่คำ แต่แทนที่จะบ่น ท่านกลับยิ้ม บอกว่า "โอ้ดีเนาะ ได้ออกกำลังเนาะ" แล้วท่านก็ขมีขมันออกแรงช่วยเข็นรถจนวิ่งได้ ปรากฏว่ากว่าจะถึงบ้านงานก็เลยเที่ยงแล้ว หมดเวลาฉันอาหารไปแล้ว เป็นอันว่า วันนั้นหลวงพ่ออดข้าวทั้งสองมื้อ แต่เนื่องจากได้เวลาเทศน์แล้ว เจ้าภาพจึงนิมนต์ท่านขึ้นเทศน์ทันที
หลวงพ่อก็สนองด้วยดี "ดีเนาะ” มาถึงก็ได้ทำงานเลยเนาะ” ว่าแล้วท่านก็ขึ้นธรรมมาสน์เทศน์จนจบ มีคนชงกาแฟถวาย แต่เผลอตักเกลือใส่แทนน้ำตาล หลวงพ่อจิบกาแฟไปได้หน่อยก็โยมว่า "ดีเนาะ " แล้วก็วาง ธรรมเนียมของญาติโยมที่ศรัทธาเกจิอาจารย์ เวลาท่านฉันอะไรเหลือ ลูกศิษย์ก็อยากได้บ้าง ถือเป็นสิริมงคล แต่ลูกศิษย์ดื่มกาแฟแค่อึกแรกเท่านั้นก็พ่นพรวดออกมา "เค็มปี๋เลยหลวงพ่อ ฉันเข้าไปได้ยังไง!"
"ดีเนาะ ฉันกาแฟหวานๆมานาน" หลวงพ่อว่า "ฉันเค็มๆมั่งก็ดีเหมือนกัน" ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน จะแย่แค่ไหน หลวงพ่อก็มองเห็นแต่แง่ดี ท่านจึงไม่มีความทุกข์เลย เคยมีลูกศิษย์ใกล้ชิดคนหนึ่งไปทำผิด ถูกจับติดคุก ท่านก็ว่า "ก็ดีเนาะ มันจะได้ศึกษาชีวิต"
หลวงพ่อดีเนาะมิใช่เป็นหลวงตาธรรมดา ๆ หากเป็นพระผู้ใหญ่ที่มีชื่อของจังหวัดอุดรธานี ที่ใคร ๆ ก็รู้จัก ท่านมีลูกศิษย์ลูกหาและผู้เคารพนับถือทั่วประเทศ การประพฤติปฏิบัติของท่านเป็นที่เล่าขานกันมากมายหลายเรื่อง เช่นมีผู้ เล่าว่า กุฏิของท่านเป็นที่จับตาของโจรผู้หนึ่ง เพราะเห็นว่ามีสิ่งของมีค่ามากมายที่ญาติโยมนำมาถวาย วันหนึ่งได้โอกาสบุกเข้าประชิดตัวหลวงพ่อบนกุฏิพร้อมปืนในมือ
“นี่คือการปล้น อย่าได้ขัดขืนนะหลวงพ่อ” หลวงพ่อแทนที่จะตกใจหรือโมโห ยิ้มให้โจรด้วยอารมณ์ดีและกล่าวกับโจรอย่างนิ่มนวลว่า “ปล้นก็ดีเนาะ” โจรแปลกใจในคำพูดและท่าทีของหลวงพ่อ จึงพูดว่า “ถูกปล้นทำไมว่าดีละหลวงพ่อ” หลวงพ่อตอบว่า “ทำไม่จะไม่ดีละ ก็ข้าต้องทนทุกข์ทรมานเฝ้าไอ้สมบัติบ้า ๆ นี้ตั้งนานแล้ว เอ็งเอาไปเสียให้หมดข้าจะได้ไม่ต้องเฝ้ามันอีก” โจรตอบว่า “ไม่ใช่ปล้นอย่างเดียวฉันต้องฆ่าหลวงพ่อด้วย เพื่อปิดปากเจ้าทรัพย์”
หลวงพ่อก็ตอบเหมือนเดิม “ฆ่าก็ดีเนาะ”
โจรแปลกใจจึงถามว่า “ถูกฆ่ามันจะดีได้อย่างไรล่ะหลวงพ่อ”
หลวงพ่อตอบ “ข้ามันแก่แล้ว ตายเสียได้ก็ดี จะได้ไม่ทุกข์ร้อนอะไร”
โจรรู้สึกอ่อนใจเลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ฆ่าหรอก”
หลวงพ่อก็พูดเหมือนเคย “ไม่ฆ่าก็ดีเนาะ”
โจรถามอีก “ทำไมฆ่าก็ดี ไม่ฆ่าก็ดีอีก”
หลวงพ่อตอบว่า “การ ฆ่ามันเป็นบาป เอ็งจะต้องใช้เวรทั้งชาตินี้และชาติหน้า อย่างน้อยตำรวจเขาจะต้องตามจับเอ็งเข้าคุก เข้าตะราง หรือไม่ก็ถูกฆ่าตาย ตายแล้วก็ยังตกนรกอีก” ได้ยินเช่นนี้โจรเลยเปลี่ยนใจ “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ปล้นหลวงพ่อแล้ว” หลวงพ่อก็ตอบอีกว่า “ไม่ปล้นก็ดีเนาะ” มี ผู้เล่าต่อมาว่า ในที่สุดโจรคนนั้นก็สำนึกบาปเข้ามอบตัวกับตำรวจ เมื่อพ้นโทษออกมาก็ขอให้หลวงพ่อบวชให้และอยู่ในผ้าเหลืองเป็นเวลานาน ส่วนหลวงพ่อมีคนให้ฉายาท่านว่า “หลวงพ่อดีเนาะ” มาจนทุกวันนี้
หลวงพ่อดีเนาะ แห่งวัดมัชฌิมาวาส อุดรธานี เป็นผู้ที่มองเห็นข้อดีของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่าน อีกท่านมองคนอื่นในแง่ดีเสมอ ไม่เคยว่าใครหรือจับผิดใคร เจอปัญหาอะไรๆ ก็พูดว่า “ดีเนาะ” ในที่สุดจึงได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น “พระเทพวิสุทธาจารย์ สาธุอุทานธรรมวาที” ซึ่งแปลว่า ผู้สอนธรรมด้วยการเปล่งคำว่าดีเนาะ
*********************
ติดตามข้อคิด หลักธรรม กำลังใจ เรื่องราวดีๆ ได้ที่
https://www.facebook.com/935999909859883/

ครั้งหนี่ง พระผู้มีบุญท่านหนึ่ง ถามคุณยายอาจารย์ว่า เส้นลายมือของแต่ละคนมีความหมายอะไรหรือเปล่า ?


 ท่านบอกว่าเส้นลายมือเปรียบเสมือนผังชีวิตของแต่ละคน แต่ผู้ที่ดูเป็นไม่ค่อยจะมี มีแต่พอรู้นิด ๆ หน่อย ๆ นอกนั้นก็ด้นเดาหรือคาดคะเนเอา อย่าไปเสียเวลาจะพาหลง ,
แล้วผังชีวิตสามารถจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ดีได้หรือเปล่า ? ท่านบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับปัจจุบัน สามารถเปลี่ยนได้ด้วยตัวของแต่ละคนเอง ถ้าในอดีตเราทำไม่ดี ปัจจุบันก็จะประสบอุปสรรคและปัญหา แต่เราพยายามต่อสู้ตั้งใจทำแต่ความดี ก็จะช่วยให้หนักกลายเป็นเบาและสามารถแก้ไขให้กลายเป็นดีได้ในที่สุด ถ้าในอดีตเราทำแต่ความดี และปัจจุบันก็ทำแต่ความดีก็จะยิ่งช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้ชีวิตประสบความสุขความสำเร็จ ชีวิตมีแต่ความเจริญรุ่งเรื่องยิ่ง ๆ ขึ้นไป… ( จงสู้ จงสู้ จงสู้ ไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจ วาสนา และชะตาชีวิต สร้างธาตุแห่งการไม่ยอมแพ้ให้เกิดขึ้นในตัวของเรา ในที่สุดเราก็จะเป็นผู้ชนะ “ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ “ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน )
*********************

ติดตามข้อคิด หลักธรรม กำลังใจ เรื่องราวดีๆ ได้ที่
https://www.facebook.com/935999909859883/

เผยคำทำนาย “ครูบาศรีวิชัย” ที่ผ่านมากว่าร้อยปี! ตอนนี้เป็นจริงทุกอย่างแล้ว???


ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา เป็นผู้มีศีลาจารวัตรที่งดงามและเคร่งครัด ครูบาศรีวิชัย เป็นที่รู้จักและอยู่ในความทรงจำของชาวล้านนา คือการที่ท่านเป็นผู้นำในการสร้างทางขึ้นสู่ วัดพระธาตุดอยสุเทพโดยพลังศรัทธาประชาชนเป็นจำนวนมาก ทั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์ ซึ่งใช้เวลาสร้างเพียง 5 เดือนเศษ โดยไม่ใช้งบประมาณของรัฐ หรือส่วนราชการเลย
นอก จากนี้ ท่านยังทำนายบ้านเมืองในภายภาคหน้า ซึ่งก็คือปัจจุบัน ได้ตรงอย่างน่าขนลุก ความว่า ( ภาษากำเมือง ) “ต่อไปเบื้องหน้า… วัดจะหมอง มองจะห่าง หนตางจะเลี่ยน โฮงเฮียนจะดี คนบ่มีจะได้กิ๋นข้าว คนเฒ่าใส่เขี้ยวขาว แม่ฮ้างนางสาวจะนุ่งเตี่ยว ป่าเฮ่วม่วนเหมือนปอย ภูดอยจะล้าน คนขี้คร้านจะได้กิ๋นดี คนบ่ดีหนีไปนอนสาด ตูบกาดเต๋มบ้านเต๋มเมือง น้ำเหมืองเอาน้ำแม่ งัวควายบ่แพร่ คนเฒ่าคนแก่บ่มีไผแอ่วหา ปู๋ปล๋าหนีน้ำ เอาน้ำตกกับถ้ำเป๋นตี้แอ่วตี้จุม คนจักชุมนุมกั๋นเป๋นกลุ่มเป๋นก้อน บ้านเมืองจะเดือดฮ้อน ละอ่อนสอนบ่ฟังกำ คนใจ๋ดำมีทั่วประเทศ คนจักเหมือนผีเหมือนเผต ตึงแม่ญิงป้อจายผมมีบ่เกล้า ข้าวมีบ่ต๋ำ หนตางดีบ่มีคนไต่ ฮอยคนเหมือนฮอยงู คนจักซานบนดินมาหนึ่งศอก น้ำบ่อออกอยู่บนเฮือน เครือเขาเลื่อนบนอากาศ คนฉลาดแป๋งควายเหล็กมาขาย คนมีหูติ๊บต๋าติ๊บ ดำดินบินบนได้ จักมีในเบื้องหน้าแต้แหล่..ปี้น้องตังหลายเหย..ฯ”

โดยแปลเป็นภาษากลางได้ว่า
“ ในอนาคต วัดวาอารามจะไม่ค่อยมีผู้คนเข้าไปทำบุญหรือถือศีลฟังธรรม ครกมองตำข้าวก็จะไม่มีคนใช้ตำข้าวอีก ถนนหนทางก็จะราบเรียบใช้เดินทางไปมาอย่างสะดวกสบาย โรงเรียนก็จะใหญ่โต คนยากจนก็จะมีข้าวกิน คนชราก็จะใส่ฟันปลอมเต็มปาก แม่หม้ายนางสาวก็จะละทิ้งผ้าถุงหันไปสวมใส่กางเกงกันหมด ป่าช้าก็จะครึกครื้นด้วยเสียงเพลง (เพลงแห่ศพ..บางแห่งมีวงดนตรีแสดงสด ๆ ขณะเผาศพ หรือเปิดเพลงโปรดของผู้ตาย..) ภูเขาก็ปราศจากต้นไม้ คนเกียจคร้านก็มีอยู่มีกินอย่างดี คนชั่วช้าก็ล้มตายไป มีร้านค้าขายอยู่ทั่วทุกมุมเมือง น้ำคลองซอยเล็กก็อาศัยน้ำจากแม่น้ำใหญ่ วัวควายก็ค่อย ๆ สูญพันธุ์ไป คนแก่คนเฒ่าก็ถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ปูปลาก็ลดหายไปจากลำน้ำ ผู้คนต่างชอบท่่องเที่ยวไปตามถ้ำและน้ำตก ผู้คนมีร่วมชุมนุมประท้วงกันอย่างมากมาย บ้านเมืองจะเกิดความระส่ำระสายวุ่นวาย เด็ก ๆ ลูกหลานก็จะดื้อรั้นไม่ค่อยเชื่อฟังผู้ใหญ่ ผู้คนไร้คุณธรรมน้ำใจก็จะมีอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ผู้คนก็จะเป็นเสมือนพวกภูตผีและพวกเปรตที่มีแต่ความละโมบโลภมาก ทั้งชายหญิงต่างไว้ผมยาวประบ่า ข้าวที่มีอยู่ก็ไม่ใช้ครกตำ ถนนหนทางดีแต่คนก็ไม่ใช้เท้าเดินกัน ร่องรอยของผู้คนก็คล้ายรอยงู(ล้อรถยนต์) ผู้คนก็จะเหาะเหินล่องลอยอยู่เหนือพื้นดิน ในบ้านเรือนก็มีก็อกประปามีน้ำกินน้ำใช้อย่างสะดวก สายไฟฟ้าสายโทรศัพท์มีโยงอยู่ทั่วไปในชุมชน คนที่มีความรู้ก็ผลิตรถแทรกเตอร์มาใช้ทำไร่ไถนา ผู้คนต่างก็มีหูทิพย์ตาทิพย์ (โทรศัพท์-โทรทัศน์-อินเตอร์เน็ต) ผู้คนมีพาหนะทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน-บนดิน-ลอยฟ้า หรือเครื่องบิน สิ่งเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอนนะ พี่น้องทั้งหลาย…“
หมาย เหตุ : ในบางประโยคนั้น เป็นปริศนาธรรมที่ลึกซึ้ง ที่จะต้องตีปริศนาและขบคิด ค้นหาความหมายที่ถูกต้องครับ ถ้าท่านใดเป็นผู้รู้มาช่วยแปลด้วยจะเป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ

ประวัติของครูบาศรีวิชัย
นาย อินท์เฟือน อาศัยอยู่ในหมู่บ้านกันดาร มีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่มากโดยเฉพาะชาวกะเหรี่ยง ในช่วงนั้นบ้านปางยังไม่มีวัดประจำหมู่บ้าน จนกระทั่งเมื่อนายอินท์เฟือนมีอายุได้ 17 ปี ได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อ “ครูบาขัตติยะ” หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ครูบาแฅ่งแฅะ” (หมายถึง ขาพิการ เดินขากะเผลก) เดินธุดงค์จากบ้านป่าซางผ่านมาถึงหมู่บ้านนั้น ชาวบ้านจึงนิมนต์ให้ท่านอยู่ประจำที่บ้านปาง แล้วก็ช่วยกันสร้างกุฏิชั่วคราวให้ท่านจำพรรษา
เด็กชายอินท์เฟือน จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเมื่ออายุได้ 18 ปี ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่อารามแห่งนี้ โดยมีครูบาขัตติยะเป็นพระอุปัชฌาย์ 3 ปีต่อมา (พ.ศ. 2442) ได้เข้าอุปสมบทในอุโบสถวัดบ้านโฮ่งหลวง อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน โดยมีครูบาสมณะ วัดบ้านโฮ่งหลวง เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับนามฉายาในการอุปสมบทว่า “สิริวิชโยภิกฺขุ” มีนามบัญญัติว่า พระศรีวิชัย หลังอุปสมบท
เมื่ออุปสมบทแล้ว พระศรีวิชัย สิริวิชโยภิกขุ ได้กลับมาจำพรรษาที่อารามบ้านปาง 1 พรรษา จากนั้นได้ไปศึกษากัมมัฏฐานและวิชาอาคมกับครูบาอุปละ วัดดอยแต อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน ต่อมาได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของครูบาวัดดอยคำ และอีกท่านหนึ่งที่ถือว่าเป็นครูของครูบาศรีวิชัยคือ ครูบาสมณะ วัดบ้านโฮ่งหลวง ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่าน
ครูบาศรีวิชัย ได้รับการศึกษาจากครูบาอุปละ วัดดอยแต เป็นเวลา 1 พรรษาก็กลับมาอยู่ที่อารามบ้านปางจนถึง พ.ศ. 2444 อายุได้ 24 ปี พรรษาที่ 4 ครูบาขัตติยะได้จาริกออกจากบ้านปางไป (บางท่านว่ามรณภาพ) ครูบาศรีวิชัย จึงรักษาการแทนในตำแหน่งเจ้าอาวาส และเมื่อครบพรรษาที่ 5 ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านปาง จากนั้นก็ได้ย้ายวัดไปยังสถานที่ที่เห็นว่าเหมาะสม คือบริเวณเนินเขาซึ่งเป็นที่ตั้งวัดบ้านปางในปัจจุบัน เพราะเป็นที่วิเวกและสามารถปฏิบัติธรรมได้เป็นอย่างดี โดยได้ให้ชื่อวัดใหม่แห่งนี้ว่า วัดจอมสรีทรายมูลบุญเรือง แต่ชาวบ้านทั่วไปยังนิยมเรียกว่า วัดบ้านปาง ตามชื่อของหมู่บ้าน
ครู บาศรีวิชัย เป็นผู้มีศีลาจารวัตรที่งดงามและเคร่งครัด ท่านงดการเสพหมาก เมี่ยง บุหรี่ โดยสิ้นเชิง ท่านงดฉันเนื้อสัตว์ ตั้งแต่เมื่ออายุได้ 26 ปี และฉันอาหารเพียงมื้อเดียว ซึ่งมักเป็นผักต้มใส่เกลือกับพริกไทย บางครั้งก็ไม่ฉันข้าวทั้ง 5 เดือน ผักที่ท่านจะไม่ฉันเลยคือ ผักบุ้ง ผักปลอด ผักเปลว ผักหมากขี้กา ผักจิก และผักเฮือด-ผักฮี้ (ใบไม้เลียบอ่อน) โดยท่านให้เหตุผลว่า ถ้าพระภิกษุสามเณรรูปใดงดได้ การบำเพ็ญกัมมัฏฐานจะเจริญก้าวหน้า ผิวพรรณจะเปล่งปลั่ง ธาตุทั้ง 4 จะเป็นปกติ ถ้าชาวบ้านงดเว้นแล้วจะทำให้การถือคาถาอาคมดี
คำสอนครูบาศรีวิชัย          
ครู บาศรีวิชัย มีความปรารถนาที่จะบรรลุธรรมะอันสูงสุดดังปรากฏจากคำอธิษฐานบารมีที่ท่าน อธิษฐานไว้ว่า “…ตั้งปรารถนาขอหื้อได้ถึงธรรมะ ยึดเหนี่ยวเอาพระนิพพานสิ่งเดียว…” และมักจะปรากฏความปรารถนาดังกล่าว ในตอนท้ายของคัมภีร์ใบลานที่ท่านสร้างไว้ทุกเรื่อง
สิ่งที่ทำให้ครู บาศรีวิชัย เป็นที่รู้จักและอยู่ในความทรงจำของชาวล้านนา คือการที่ท่านเป็นผู้นำในการสร้างทางขึ้นสู่ วัดพระธาตุดอยสุเทพโดยพลังศรัทธาประชาชนเป็นจำนวนมาก ทั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์ ซึ่งใช้เวลาสร้างเพียง 5 เดือนเศษ โดยไม่ใช้งบประมาณของรัฐ การสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ
การสร้างถนนขึ้นดอย สุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งครูบาศรีวิชัยได้รับคำเรียกร้องจากศรัทธาประชาชน ให้ช่วยดำริและจัดการเรื่องนี้ จึงเริ่มลงมือสร้างเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2477 เวลา 10.00 นาฬิกา ณ เชิงดอยสุเทพด้านห้วยแก้ว โดยมี พลตรี เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ เป็นผู้ขุดจอบเป็นปฐมฤกษ์ การสร้างถนนสายนี้ใช้แรงงานเป็นจำนวนมากวันหนึ่งๆ จะมีผู้คนช่วยทำงานประมาณวันละไม่ต่ำกว่า 5,000 คน ถ้าคิดมูลค่าแรงงานเป็นเงินก็คงมากมายมหาศาลทีเดียว การสร้างทางสายนี้ใช้เวลา 5 เดือน กับ 22 วัน จึงแล้วเสร็จ และเปิดให้รถขึ้นลงได้ เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2478
ปัจจุบัน ท่านครูบาศรีวิชัยยังคงเป็นที่เคารพสักการะของชาวไทยภาค เหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวเขาเผ่าต่างๆ โดยจะเห็นได้จากการที่ชาวเขากลุ่มใหญ่ในปัจจุบัน ก็ยังคงไม่กินเนื้อสัตว์ตามคำสอนของท่านครูบาศรีวิชัยที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ บรรพบุรุษ อีกทั้งท่านยังเป็นพระสงฆ์องค์แรกๆ ที่ทำให้ชาวเขาเลิกนับถือผีสางอีกด้วย
ข้อมูลจาก siamupdate.com



ปาฏิหารย์หลวงปู่สด ตอน พยากรณ์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำองค์ปัจจุบัน



หลวงปู่ท่านได้พยากรณ์บุคคลสำคัญอีกท่านหนึ่ง คือ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ องค์ปัจจุบัน ในครั้งที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังเป็นสามเณรว่า
"องค์นี้แหละ จะได้เป็นเจ้าอาวาสวัีดปากน้ำองค์ต่อไป"

ต่อมาหลังจากที่หลวงปู่มรณภาพแล้ว สมเด็จป๋าก็รักษาการเจ้าอาวาสวัดปากน้ำแทนอยู่ช่วงหนึ่ง ในระหว่างปี พ.ศ.2502-2508 แต่หลังจากนั้นสมเด็จป๋า (ซึ่งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระวันรัตในสมัยนั้น) ต้องไปรับตำแหน่งและหน้าที่ที่เพิ่มขึ้นอีกหลายตำแหน่ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์เป็นพระราชวรเวที) ได้เข้ามารับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำจริงๆ ดังที่หลวงปู่พยากรณ์ไว้

ส่วนอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงที่กุฏิของหลวงปู่เก่าทรุดโทรม คณะลูกศิษย์จึงเห็นพ้องต้องกันว่า อยากจะให้หลวงปู่ท่านอยู่สะดวดสบายขึ้น จึงรวมทุนกันสร้างตึกใหม่ถวายท่าน ชื่อ ตึกมงคลจันทสร ระหว่างที่้กำลังก่อสร้างอยู่นั้น หลวงปู่ท่านมักจะออกมานั่งดูเสมอๆ และเมื่อมีผู้ถามถึงตึกหลังนี้ทีไร ท่านก็จะบอกว่า
"ตึกหลังนี้สร้างให้ 'ช่วง' เขาอยู่"

และในปัจจุบัน 'ตึกมงคงจันทสร' ก็เป็นกุฏิของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เจ้าอาวาสวัดปากน้ำองค์ปัจจุบัน จริงๆ ดังที่หลวงปู่พยากรณืไว้ทุกประการ

ปาฏิหารย์หลวงปู่สด ตอน พ่อตาจอมพลถนอมศรัทธาหลวงปู่มาก


เรื่องนี้มีบันทึกไว้่อย่างชัดเจนในบันทึกของ พระทิพย์ปริญญา (ธูป กลัมพสุต) ป.ธ.6 อดีตผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ว่าหลวงจบกระบวนยุทธ ซึ่งเป็นพ่อตาของ จอมพลถนอม กิตติขจร ได้เล่าให้ท่านฟังว่า
ก่อนหน้านั้น หลวงจบได้ยินผู้คนจำนวนมากร่ำลือกันว่า หลวงปู่วัดปากน้ำพาไปนรกสวรรค์ได้ หลวงจบก็เลยพาภรรยาไปวัดปากน้ำบ้าง เพราะอยากรู้่ว่าพ่อตาที่ตายไปแล้วไปอยู่ที่ไหน และพอหลวงจบไปกราบหลวงปู่วัดปากน้ำ ท่านก็ให้พระ 1 รูป และแม่ชี 1 คน ที่ได้ธรรมกายนั่งไปดูให้ว่า พ่อตาหลวงจบตายแล้วไปอยู่ที่ไหน ซึ่งก็พบว่าไปอยู่สวรรค์๋ชั้นยามาเพราะสมัยตอนเป็นมนุษย์ พ่อตาของหลวงจบเคยสร้างโบสถ์ไว้ที่วัดยายร่ม

เมื่อหลวงจบได้ฟังดังนั้นก็ตกตะลึง เพราะสงสัยว่า ทำไมถึงได้รู้ขนาดนั้น เพราะหลวงจบไม่เคยบอกเรื่องนี้กับหลวงปู่วัดปากน้ำ หรือบอกกับพระและแม่ชีที่นั่งเข้าที่ดูให้เลย คือ พ่อตาของหลวงจบได้สร้างโบสถ์ไว้ที่วัดยายร่มจริงๆ และเพื่อให้แน่ใจหลวงจบเลยซักโน่นซักนี่ ปรากฏว่าพระและแม่ชีัที่ได้ธรรมกายนั้นสามารถตอบถูกหมด ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักหรือรู้ข้อมูลของหลวงจบมาก่อนเลย
อีกคราวหนึ่ง ลุงฉลอม มีแก้วน้อย หลานของหลวงปู่วัดปากน้ำเล่าให้ฟังว่า พ่อแท้ๆของหลวงจบ เป็นแขกฆ่าวัดฆ่าควาย แต่หลังจากพ่อหลวงจบตายไปแล้ว 20 ปี หลวงจบก็ไม่ได้ข่าวคราวของพ่้อเลย เพราะแกไม่มาเข้าฝันอะไรใครทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้หลวงจบก็เลยไปกราบหลวงปู่ หลวงปู่ท่านก็เลยสั่งแม่ชีที่ได้ธรรมกายให้นั่งไปดู แม่ชีก็บอกว่า พ่อของหลวงจบอยู่ในนรก เพราะตอนเป็นมนุษย์ ฆ่าวัว ฆ่าควาย ขายเป็นประจำวันละ 3-5 ตัว แล้วแม่ชีก็บอกต่ออีกว่า พ่อของหลวงจบ ชื่อ โต๊ะรูห์
พอแม่ชีพูดชื่อพ่อของหลวงจบเท่าั้นเอง หลวงจบก็ร้องไห้คลานเข้าไปกราบหลวงปู่ทันที เพราะแม่ชีไม่เคยรู้ประวัติของหลวงจบมาก่อน แต่วิชชาธรรมกายที่หลวงปู่สอนแม่ชี กลับทำให้สามารถรู้เรื่องของหลวงจบ และบอกว่าชื่อพ่อของหลวงจบได้ถูกต้อง และด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้หลวงจบเกิดความศรัทธาหลวงปู่และวิชชาธรรมกายมาก ทำให้นับจากวันนั้น หลวงจบก็เลิกนับถือศาสนาเดิม แล้วเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และกลับไปบอกน้องชายที่ชื่อ 'อาหมัด' ว่าให้เลิกอาชีพฆ่าวัว ฆ่าควายแบบพ่อเสีย เพราะกลัวน้องชายตายแล้วต้องไปตกนรกเหมือนพ่อ

ปาฏิหารย์หลวงปู่สด ตอนช่วยผู้ตายขึ้นมาจากนรก


ลุงสายัณห์ ศรีธนชัย เล่าให้ฟังว่า ตอนแม่ของลุงตาย ลุงเสียใจมากเพราะคิืดไม่ถึงว่าแม่จะตายจากไปเร็วขนาดนี้ อีกทั้งยังคิดว่า ถ้าแม่หายป่วยจะรับแม่จาก จ.ชัยนาท มาอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ
ด้วยความเสียใจที่แม่ด่วนจากไปตรงนี้เอง จึงทำให้ลุงเที่ยวพยายามเสาะแสวงถามพรรคพวกเพื่อนฝูงด้วยกันว่า มีพระที่ไหนบ้างที่สามารถนั่งทางในไปดู หรือตรวจได้ว่า คนที่ตายไปแล้วไปอยู่ที่ไหน จนกระทั่งได้มาเจอเพื่อนคนหนึ่งบอกว่า มีหลวงพ่อรูปหนึ่ง อยู่วัดปากน้ำ ท่านเก่งมาก เพราะท่านรู้หมดว่า ใครตายแล้วไปอยู่ที่ไหน
จากนั้นลุึงก็ไม่รอช้า รีบหาทางไปวัดปากน้ำ แล้วก็เข้าไปกราบหลวงปู้โดยบอกท่านว่า
"หลวงพ่อครับ ผมเป็นห่วงแม่มาก แม่ผมตายแล้วไปอยู่ที่ไหนครับ"
หลังจากนั้นหลวงปู่ก็บอกว่าแม่ชีชั้นว่า
"เอ้า ตรวจให้เค้าหน่อยสิ"
จากนั้นแม่ชีก็นั่งสมาธิเข้าที่ไม่ถึง 5 นาที แล้วตอบว่า
"แม่จะต้องไปนรก แต่ยังไม่ลงนรก เพราะรอการตัดสินอยู่ เพราะกรรมจากชาติหนึ่งได้มา่ส่งผล คือ ในอดีตชาติ แม่ของลุงสายัณห์คั้นกะทิใส่กระทะวางไว้กับพื้น เพื่อเอาไว้ทำกับข้าว แต่อยู่ๆมีไก่ที่เลี้ยงไว้่ในบ้าน เดินเข้ามาเหยียบทำให้กะทิหกหมด แม่ของลุงสายัณห์ก็เลยโมโห ขว้างไม้ไปถูกขาของไก่อย่างแรง จนมันบาดเจ็บขาบวมมาก ทรมานอยู่หลายวัน จนกระทั่งตาย"
พอลุงสายัณห์ได้ฟังดันนั้นก็ทึ่ง เพราะแม่ของลุงตายเนื่องจากเป็นมะเร็วที่ขา หนำซ้ำขายังมีอาการปวดบวมทรมานมาก เหมือนกับไก่ที่ได้รับความทรมานก่อนตาย ทั้งๆที่ลุงก็ไม่เคยเล่าเรื่องอาการขาบวมอย่างทรมานของแม่ให้หลวงปู่วัดปาก น้ำหรือแม่ชีชั้นฟังมาก่อนเลย
ด้วยความทึ่งผสมความตกใยนี้เอง ลุงสายัณห์จึงรีบเรียนถามหลวงปู่ทันทีว่า
"แล้วกระผมจะช่วยท่านได้อย่างไรครับ"
หลวงปู่ก็บอกว่า
"ต้องเอาบุญไปให้"
จากนั้นลุงสายัณห์จึงรีบเอาเงินไปทำบุญสร้างโรงเรียนปริยัติและทำบุญถวาย สังฆทานเพื่ออุทิศให้แม่้ จากนั้นหลวงปู่ท่านก็ให้แม่ชีเอาบุญไปให้ เพื่่อทำการเปลี่ยนภพภูมิ จนพ้นจากนรก และพากายละเอียดของแม่ลุงสายัณห์ ไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ปาฏิหารย์หลวงปู่สด ตอน สยบไสยเวทย์



หากใครได้ศึกษาถึงประวัติของหลวงปู่ ก็จะพบว่าท่านเป็นผู้มีอัธยาศัยรักในการศึกษามาก หลังจากที่บวชแล้ว ท่านก็เอาจริงเอาจังกับการศึกษาทั้งด้านปริยัติ ปฏิบัติ แสวงหาความรู้แทบทุกแขนง คือ วิชาไหนที่ใครว่าดี ท่านไปศึกษาหมด ไม่ว่าจะเป็นด้านยา วิชาแพทย์แผนโบราณ วิชาโหราศาสตร์ ไยสเวท วิชาวิทยาธร หรือแม้แต่วิชาเล่นแร่แปรธาตุ ทำทองแดงให้กลายเป็นทองคำ ท่านก็ทำได้ ซึ่งท่านบอกว่า สูตรของท่านเอามาจากพรหมโลก ที่หลวงปู่พูดอย่างนี้ เพราะมีอยู่คราวหนึ่ง มีพระที่เล่นแร่แปรธาตุมาหาหลวงปู่แล้วบอกว่า สมัยปู่ของปู่ของปู่ของปู่ได้ทดลองเล่นแร่แปรธาตุมาแล้ว แต่ก็ยังทำไม่สำเร็จสักที จึงสรุปเขียนไว้ในใบลานว่า
"กูชื่อไอ้ทองแดง เท่าปีกริ้น ปีกยุง ยังไงกูก็ไม่เป็นทองคำ"

ซึ่งแปลว่้า แม้ทองแดงจะมีน้อยนิดขนาดเท่าปีกของตัวริ้น หรือมีน้อยเท่าขนาดปีกของยุง ก็ไม่อาจเปลี่ยนทองแดงเป็นแร่ทองคำได้ ไม่ว่าจะเอามาทำอย่างไร และพอพูดอย่างนี้ หลวงปู่ท่านก็บอกว่า แต่สูตรของท่านเอามาจากพรหมโลก จากนั้นท่านก็ลองวิชาเปลี่ยนทองแดงให้เป็นทองคำ ปรากฎว่าทำได้จริงๆ จนโยมแผ้วและหลวงพ่อวัดลำพญา ซึ่งในสมัยนั้นอายุเพียง 12 ขวบ ดูแล้วก็นั่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากๆ หลวงปู่ก็บอกว่า
"เฮ้ย แผ้ว เอ็งดูนะ หลวงพ่อทำได้แล้วนี่ นี่นะ ถ้าอยู่ทางโลกก็รวยทีเดียว"

แต่พอหลวงปู่ท่านทำได้แล้ว ท่านก็เลิก คือ ท่านต้องการแค่พิสูจน์ว่าทำได้

และที่น่าทึ่งไปกว่านั้น ก็คือ ไม่ว่าหลวงปู่จะศึกษาวิชาใด ท่านก็สามารถไปถึงขีดสุดของวิชชานั้นได้ และไม่ว่าครูที่สอนท่านทำได้แบบไหน ท่านก็ทำได้แบบนั้น แต่สุดท้ายเมื่อท่านค้นพบวิชชาธรรมกาย ซึ่งเป็นวิชชาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็เลิกวิชาเหล่านั้นทั้งหมด เพราะท่านบอกว่าวิชาพวกนี้สู้วิชชาของพระพุทธเจ้าไม่ได้เลย เนื่องจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า วิชาพวกนี้ เป็นเดรัจฉานวิชา คือ เรียนแล้วยังติดข้องอยู่ในอบาย


เรื่องราวที่เกี่ยวกับการแสดงฤทธิ์ทางด้านไสยเวทของหลวงปู่หลวงพ่อวัดลำพญาเล่าไว้ว่้า
ในสมัยที่หลวงพ่อวัดลำพญาเป็นเด็กวัด อายุ 12 ขวบนั้น ท่านมีหน้าที่ช่วยหลวงปู่รับแขก คือ วันหนึ่งมีพระธุดงค์ 3 รูป ห่มจีวรสีกรักออกมาจากป่า มาขอเรียนวิชาไสยเวทจากหลวงปู่ และขอร้องให้หลวงปู่แสดงวิชาให้ดู หลวงปู่ท่านก็เลยปั้นตุ๊กตาดินเหนียว 2 ตัว วางไว้ห่างๆกัน ซึ่งปกติแล้วเวลาปั้นเสร็จ จอมขมังเวททั่วๆไป จะต้องท่องคาถาหรือเสกก่อน ตุ๊กตานี้ถึงจะขยับได้

แต่สำหรับหลวงปู่พอท่านปั้นเสร็จ ท่านก็แค่มองดูเฉยๆ โดยไม่ต้องเสกไม่ต้องเป่า แต่จู่ๆตุ๊กตาดินเหนียวนั้น ก็วิ่งพุ่งเข้าชนกันทันที จากนั้นหลวงปู่ก็สาธิตวิธีการทำวัวธนู โดยเอาตากจากโรงครัวมาจักสานเป็นวัวธนู พอทำเสร็จวัวธนูนั้นก็ขยับทำท่าจะบินได้ทันที หลวงปู่บอกว่าถ้า้เป่าพรวดเดียวก็บินไปทันที


จากนั้นหลวงปู่ก็สาธิตวิธีการทำนะหน้าทอง หลักการของวิชานี้ก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ ให้แผ่นทองคำเปลวมันเข้าไปอยู่ในร่างกายมนุษย์ ส่วนมากเขาจะเสกให้ไปอยู่ที่กระหม่อมและตามส่วนต่างๆของใบหน้า ซึ่งพอเสกเข้่าไปแล้ว แผ่นทองนี้จะอยู่ในร่างกายไปจนกระทั่งตายเพราะเชื่อว่าเป็นการทำให้มีเมตตา มหานิยม

กรรมวิธีการทำ ก็จะเอาทองคำเปลวแปะลงบนหน้าที่ทาน้ำมันเอาไว้ แล้วก็เสกคาถาคลึงจนทองคำเปลวเข้าไปแปะอยู่ในกะโหลก แต่ถ้าผู้มีอาคมแก่หน่อย เวลาแปะทองแล้วก็ไม่ต้องคลึง คือ เสกคาถาแล้วก็แค่มองๆแล้วทองก็จะวืดเข้าไปในกะโหลกเอง

แต่ถ้าเป็นพวหที่มีอาคมแก่ในระดับเทพ ก็แค่เอาแผ่นทองคำเปลวที่ยังไม่ได้ลอกกระดาษหุ้มออกวางไว้ที่มือเท่าจำนวน แผ่นที่ต้องการ แล้วก็เสกคาถาเป่าพ่วงเดียว ทองก็จะเข้าไปในร่างกายทันท

หรือถ้าเป็นพวกที่อาคมแก่แบบสุดๆในระดับขั้นเทพเรียกทวด พวกนี้จะสามารถเป่าให้เข้าไปติดกะโหลกมาตั้งแต่เกิดและจะติดไปจนตาย อีกทั้งเวลาเอาศพไปเผา กะโหลกก็จะไม่ไหม้ แต่กลับเป็นสีทองผ่องอำพันอย่างอัศจรรย์

แต่สำหรับการทำนะหน้าทองของหลวงปู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์ขั้นเทพเรียกทวดแล้วทวดอีกขนาดไหน ก็สู้หลวงปู่ไม่ได้เลย เพราะการทำนะหน้าทองของหลวงปู่ ท่านเริ่มจากการไม่มีทองคำเปลวเลยสักแผ่น เพราะท่านให้หลวงพ่อวัดลำพญา (ในสมัยนั้นเป็นเด็กวัด) วิ่งไปเอาผ้าอาบน้ำฝนที่ตากไว้ที่ราวมาให้ จากนั้นท่านก็เอาผ้าอาบน้ำฝนลูบปรื๊ดขึ้นไปบนหน้าของท่าน และพอเอาผ้าออก ปรากฎว่าหน้าของท่านกลายเป็นทองสุกปลั่งทั้งใบหน้า และพอท่านเอาผ้าลูบลง หน้าทองนั้นก็หายไป พอพระธุดงค์ทั้ง 3 รูป เห็นหลวงปู่สามารถทำนะหน้าทองได้ โดยไม่ต้องมีแผ่นทองคำเปลวเป็นสารตั้งต้นเหมือนปรมาจารย์ท่านอื่นๆ ก็เลยเกิดอาการตะลึงกันขนาดหนัก รีบก้มกราบหลวงปู่กันยกใหญ่ เพื่อขอเรียนวิชา แต่หลวงปู่ท่านไม่สอน เพราะท่านบอกว่า
"อย่าเลย เรียนแล้วมันไปเพิ่มกิเลส ไม่ใช่วิชชา่ของพระพุทธเจ้า เรียนแล้วก็ไปนิพพานไม่ได้ แต่ 'สัมมา อะระหัง' นี่สิเป็นทางมรรคผล เพราะไปนิพพานได้"

แม้หลวงปู่จะพูดอย่างนั้น แต่หลวงพ่อวัดลำพญา (ขณะนั้นเป็นเด็กวัดอายุ 12 ขวบ) พอได้เห็นหลวงปู่สามารถแสดงวิชาไสยเวทได้เก่งแบบสุดๆขนาดนั้น ท่านก็อยากจะเรียนอยู่ดี จึงพยายามเอาอกเอาใจประจบประแจงบีบนวดหลวงปู่ เพื่อขอให้หลวงปู่ช่วยสอนให้ แต่หลวงปู่ท่านก็ไม่ใจอ่อน จึงบอกว่า
"เออ วิชานี้มันมีกิเลส ข้าจะให้เอ็งเป็นสมภาร"

ตรงนี้หลวงพ่อวัดลำพญาได้เล่าไว้่ว่า
"ตอนนั้นนะ ความคิดที่จะบวชน่ะยังไม่มีเลย เพราะคิดแต่อยากจะมีเมีย พอเห็นหลวงพ่อท่านแสดงนะหน้าทอง ก็เลยอยากจะเรียนกับท่าน เพราะคิดว่า เราจะได้เป็นขุนแผนก็คราวนี้แหละ..."

แต่่ท้ายที่สุด ญาณทัสสนะของหลวงปู่ก็แม่นเหนือความคาดหมายจริงๆ เพราะต่อมาหลวงพ่อวัดลำพญาก็ได้มาบวชและได้เป็นสมภารจริงๆตรงตามที่หลวงปู่ บอกไว้ทุกประการ

อีกคราวหนึ่ง ที่หลวงปู่สยบพวกไสยเวท เรื่องนี้ ลุงสมจิตร ฉ่ำรัศมี (ในอดีตเคยบวชเป็นเณรอยู่กับหลวงปู่) ท่านได้เล่าว่า
มีคนพาคนทรงคนหนึ่งมาขอให้หลวงปู่ช่วยชีวิต เนื่องจากคู่อริของคนทรงคนนี้ไปจ้างพวกมีอาคมแก่ๆทำคุณไสยไล่ฆ่ามา ขณะที่คนทรงกำลังอยู่กับหลวงปู่นั้น จู่ๆก็มีหุ่นขี้ผึ้งลอยพุ่งมาจากหน้าต่าง ดิ่งตรงเข้ามาหาคนทรงทันที ทำให้คนทรงตกใจร้องดังลั่น และเมื่อหลวงปู่เห็นดังนั้น ท่านก็ไปเอาแก้วน้ำมาครอบหุ่นขี้ผึ้งไว้ และด้วยอานุภาพของหลวงปู่ หุ่นขี้ผึ้งก็เสื่อมฤทธิ์หายแวบ กลายเป็นอากาศธาตุไปในทันที


ปาฏิหารย์หลวงปู่สด ตอนยิ่งกว่าหมอเทวดา



เรื่องอานุภาพและความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ ใครๆก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า Beyond Expectation คือ เหนือความคาดหมายด้วยกันทั้งนั้น ขนาดในสมัยที่ท่านกำลังค้นคว้าวิชชาธรรมกายอยู่ ซึ่งช่วงนั้นยังไม่ได้ประชุมธรรมกาย หมายถึง ทีมงานทำวิชชาของท่านยังไม่ครบเพราะยังไม่มาก จึงยังไม่ได้รวมผู้ที่เข้าถึงพระธรรมกายให้มาทำวิชชาพร้่อมกัน 

ท่านมีวิชชาหนึ่งที่ทำให้วงการแพทย์ต้องตกตะลึงหรืองงไปตามๆกัน เพราะมีสามีภรรยาคู่หนึ่ง นั่งเรือจ้างโดยให้เขาแจวมาส่งที่ท่าน้ำวัดปากน้ำ พอมาถึง ผู้เป็นสามีก็กระหืดหระหอบรีบเข้ามากราบหลวงปู่ที่ศาลาสอนธรรมะทันที ด้วยความเดือดเนื้อร้อนใจว่
"หลวงพ่อครับ ภรรยาผมแท้งลูก ตอนนี้ลูกตายอยู่ในท้อง นอนรออยู่ที่เรือ ทรมานมากเลยครับ"
พอหลวงปู่ฟังเสร็จ ท่านก็นิ่งๆ แล้วพูดว่า
"เออ...เอาลูกออก เอา่แม่ไว้แล้วกัน"
จากนั้นหลวงปู่ก็เอาสายสิญจน์มาม้วนเป็นกลมๆเล็กๆ แล้วสั่งผู้เป็นสามีว่า
"เออ เอาไปให้เมียของเอ็งกิน"
พร้อมกับยื่นด้ายสายสิญจน์ที่ม้วนแล้วให้ที่มือ

จากนั้นชายหนุ่มผู้เป็นสามีก็เลยถามหลวงปู่เพื่อให้แน่ใจว่า
"ให้กลืนสายสิญจน์นี่เลยหรือครับ" หลวงปู่ก็ตอบว่า "ใช่"
ผู้เป็นสามีไม่รอช้า รีบเดินไปที่เีรือจ้าง แล้วเอาสายสิญจน์ที่หลวงปู่ให้มาใส่ปากภรรยาที่นอนอยู่ในเรือ และให้ดื่มน้ำกลืนลงไป น่าอัศจรรย์ สักพักเดียวเท่านั้น ด้ายสายสิญจน์ก็ไปคล้องเด็กที่ตายอยู่ในท้องออกมาทันที จนทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างตกตะลึงแบบสุดๆเพราะเด็กสามารถออกมาได้โดยไม่ ต้องฉีดยา ไม่ต้องผ่าตัดอะไรสักอย่าง จนสุดท้ายแ่ม่เด็กก็ปลอดภัย รอดชีวิตจากการตายทั้งกลมมาได้

ต่อมาภายหลังจากที่หลวงปู่ท่านประชุมธรรมกายแล้ว ท่านก็ทำวิชชาปราบมาร พร้อมกับช่วยแก้ทุกข์ภัยมนุษย์ไปด้วย และหนึ่งในการแก้ทุกข์ภัยมนุษย์ ก็คือ การทำวิชชาธรรมกายแก้โรคภัยไข้เจ็บ ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังด้านนี้มาก จนมีคนมากมายร่ำลือกันว่า ท่านเป็นยิ่งกว่าหมดเทวดา เพราะโรคที่ใครๆรักษาไม่หาย แถมเป็นโรคที่ร้ายแรงมากในสมัยนั้น แต่หลวงปู่ท่านกลับสามารถใช้วิชชาธรรมกายรักษาหายได้หมด เพราะการทำวิชชาแก้โรคภัยไข้เจ็บของหลวงปู่ ท่านจะเข้าที่สาวไปถึงต้นเหตุของการเกิดโรค สาวไปถึงผู้ส่งโรคภัยไข้เจ็บมาบังคับมนุษย์ ถ้าเขาบังคับได้ถึงจุดที่ทำให้เกิดโรค มนุษย์ก็จะป่วยเป็นโรคนั้นโรคนี่ และเมื่อท่านสาวไปถึงเหตุ ท่านก็จะไปดับที่เหตุ พอเหตุดับ ผลก็ดับไปด้วย แล้วมนุษย์ก็จะหายจากโรคนั้

ในกรณีที่ผู้ป่วยกรรมหนักมากจริงๆ คือ รักษาอย่างไรก็ไม่หาย โรคก็จะทุเลาลงอย่างเหลือเชื่อ หรือแม้แต่บางคนที่หมดอายุขัยลงแล้ว หลวงปู่ก็จะเอาบุญไปต่ออายุให้ (ในกรณที่ร่างกายยังพอใช้การได้) การรักษาโรคของหลวงปู่นั้น ท่านจะให้เขียนชื่อและอาการของโรคลงในกระดาษรายงาน จากนั้นก็รวบรวมส่งเข้าโรงงานทำวิชชา โดยที่หลวงปู่ท่านจะกลั่นแก่คุมบุญ โดยสั่งให้พระและแม่ชีที่ทำวิชชาช่วยกันแก้โรคให้ การแก้โรคของหลวงปู่นั้น ท่านจะให้คนป่วยนั่งสมาธิให้ท่้อง "สัมมา อะระหัง" ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังไปพร้อมๆกันด้วย เพราะถ้าคนป่วยยอมนั่งสมาธิ ก็จะทำให้การแก้โรคของท่านเสร็จง่ายและเร็วขึ้น เปรียบเสมือนกับการเป็นแผลบาดเจ็บที่ขา หากคนไข้นั่งแกว่งขาไปมาอยู่ตลอดเวลา หมอก็จะทำแผลได้ลำบาก ตรงกันข้าม หากคนไข้ทำขาให้อยู่นิ่งๆ หมอก็จะทำแผลได้สะดวกรวดเร็วขึ้น ซึ่งการทำอย่างนี้ ก็จะทำให้ท้ายที่สุด โรคที่เป็นอยู่ก็จะหายเป็นอัศจรรย์ แถมคนป่้วยหลายคนยังเข้าถึงธรรมะอีกด้วย

ในช่วงที่หลวงปู่ทำวิชชาแก้โรคนั้น ท่านก็ได้ทดลองนำคนป่วยหนัก 2 คน คือ คนหนึ่งเป็นวัณโรค อีกคนหนึ่งเป็นโรคเรื้อน ซึ่งในสมัยนั้น ทั้ง 2 โรคนี้ เป็นโรคร้ายแรงที่สังคมรังเกียจมาก แถมไม่มีทางรักษาหาย แต่สุดท้ายหลวงปู่ก็ใช้วิชชาธรรมกายรักษาจนหายขาดเป็นอัศจรรย์

นับตั้งแต่นั้น กิตติศัพท์เรื่องการรักษาโรคของหลวงปู่ ก็เลื่องลือขจรขจายขยายไปในวงกว้างอย่างรวดเร็ว จนทำให้มีคนสนใจเข้ามาปฏิบัติธรรมที่วัดปากน้ำเป็นจำนวนมาก อย่างเช่นกรณีของ คุณชัช วนิกเกียรติ เป็นโรคเรื้อนที่ไปรักษามากี่หมอๆก็ไม่หาย จนคิดจะเปลี่ยนใจไปนับถือศาสนาอื่น เพราะมีคนบอกว่า ถ้าเปลี่ยนไปนับถือศาสนานั้นแล้วจะหาย แต่ก็โชคดี ที่ช่วงนั้นคุณชัชเดินทางไปหาหลวงปู่ก่อน พอหลวงปู่เห็นก็บอกว่า
"ไม่ต้องไปทำอะไรหรอก แค่โรคเรื้อน "สัมมา อะระหัง" เดี๋ยวก็หาย..."
สุดท้ายก็หายจริงๆ เพราะหลวงปู่ท่านทำวิชชาแก้โรคให้ พร้อมกับการที่คุณชัชได้หันมานั่งสมาธิปฏิบัติธรรมไปพร้อมกันด้วย

เรื่องราวการทำวิชชาแก้โรคภัยไข้เจ็บของหลวงปู่มีอย่างมากมาย บางโรคดูๆแล้ว ก็ไม่น่าจะรักษากันง่ายๆ เช่้น โรคบ้า แต่หลวงปู่ท่านก็รักษาหาย เช่นเคสของ ป้าเทียบ สุขเจริญ ที่เป็นหลายแท้ๆของหลวงปู่ คือ ป้าเทียบจะมีอาการเฉพาะหน้าหนาว บ้าแบบชนิดคลุ้มคลั่งจนต้องเอาโซ่ล่ามไว้คนเดียว หนำซ้ำไปรักษาๆมากี่หมอๆก็ไม่หาย จนผลสุดท้ายมาขอพึ่งบารมีหลวงปู่ หลวงปู่ท่านก็บอกว่า
"เอ็งน่ะ ไม่ต้องไปรักษาที่ไหนหรอก เดี๋ยวหมดกรรม มันก็หายเองแหละ"

จากนั้นหลวงปู่ท่านก็ให้กินยาลมของวัดปากน้ำ ชื่อว่า ยาลมบาดทะจิต และก็ให้นั่งสมาธิ "สัมมา อะระหัง" ในช่วงที่ไม่ออกอาการบ้า และสุดท้ายไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ คือ ต่อมาอีกประมาณ 4-5 ปี อยู่ๆอาการบ้าก็หายเป็นปลิดทิ้งไปเฉยๆ

อีกครั้งที่ ลุงสังวาล เทียนทองคำ ซึ่งเป็นน้องชายของสามเณรมงคลที่เชียวชาญในวิชชาธรรมกายมากในสมัยนั้น ได้เล่าให้ฟังว่า
"มีคนป่วยเดินทางมารักษากับหลวงปู่มาก และทางวัดก็ได้จัดเตรียมที่พักไว้ให้ด้วย การรักษาของหลวงปู่ก็ไม่ต้องใช้ยาอะไรให้ยุ่งยาก แต่ก็รักษาหาย แม้แต่มะเร็งหรือวัณโรค ท่านก็รักษาหายหมด หรืออย่างบางคนที่เป็นบ้า คลุ้มคลั่งมาเลย ถึงขั้นที่ญาติที่พามาต้องเอาโซ่ล่ามไว้ก่อน เพราะกลัวจะหนีไปที่อื่น แต่พอมาเจอหลวงปู่เท่านั้น อาการบ้าๆ ที่กำลังเป็นอยู่ ก็สงบลงอย่างประหลาด และสุดท้ายหลวงปู่ท่านก็ทำวิชชาแก้โรคให้หายได้อย่าอัศจรรย์..."

คนป่วยที่มาหาหลวงปู่ในสมัยนั้น มีตั้งแต่ระดับรากหญ้าจนถึงระดับไฮโซ อย่างเช่น คุณหญิงลมุน บุรกรรมโกวิท ภรรยา พ.อ.หลวง บุรกรรมโกวิท อดีตอธิบดีกรมโยธาธิการ และคณะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สมัยจอมพล ป.พิบุลสงคราม ท่านก็มาขอบารมีหลวงปู่ให้ทำวิชชาแก้โรคให้ พอคุณหญิงหายป่วย ก็เกิดจิตศรัทธาอย่างแรงกล้า เข้าวัดปฏิบัติธรรมและกลายเป็นอุปัฏฐากใหญ่ของวัดปากน้ำไปในที่สุด

อย่างลูกศิษย์หลวงปู่อีกท่านหนึ่ง คือ พลตรีโสภณ กะราลัย ในช่วงที่ท่านมีลูกคนแรกอายุได้ประมาณ 8 เดือน อยู่ๆหลวงปู่ก็ให้คนไปบอกที่บ้านพักในกรมทหารว่า ให้ระวังลูกจะเจ็บหนัก


พอคุณประทุม ภรรยาของพลตรีโสภณฟังแล้วก็นึกสงสัยว่า ลูกจะเจ็บป่วยได้อย่างไรในเมื่อขณะนั้นลูกยังแข็งแรงดี ไม่มีทีท่าว่าจะเจ็บป่วย แต่เมื่อทราบจากหลวงปู่เช่้นนั้น ก็พยายามระมัดระวังดูแลลูกอย่างดีืัที่สุด แต่ต่อมาอีก 2-3 วัน จู่ๆ ลูกก็ป่วยเป็นโรคบิดขั้นรุนแรงจนหมอไม่รับรองว่าจะรอดชีวิต

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้พลตรีโสภณเกิดอาการร้อนรนรีบมาถวายใบแจ้งอาการป่วยของลูกแด่หลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ท่านก็บอกว่า
"มันจะเอาไป เราต้องสู้กันหน่อย จะแก้ไขให้"
จากนั้นหลวงปู่ก็สั่งพระและแม่ชีทำวิชชาแก้โรคให้ สุดท้ายลูกของพลตรีโสภณก็รอดชีวิต หายเป็นปกติอย่างเหลือเชื่อ

อีกครั้งหนึ่ง ในช่วงที่คุณประทุมตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 ก็มีอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรง กินข้าวไม่ได้เลยถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลนานเกือบเดือน แต่ก็ไม่ดีรขึ้น จนหมอบอกว่า
"เคสนี้ ต้องเอาเด็กออก ไม่งั้นแม่จะตาย"
จากนั้นหมอก็ยื่นเอกสารมาให้พลตรีโสภณเซ็ฯยินยอมเพื่อให้เอาเด็กออก เพราะหากช้ากว่านี้ แม่เด็กจะเสียชีวิต แต่พลตรีโสภณก็ไม่ยอม จึงร้อนรนเดินทางมากราบหลวงปู่ว่า
"ผมไม่อยากฆ่าลูก แต่ถ้าไม่ฆ่าลูกก็เหมือนฆ่าแม่"
หลวงปู่ก็ตอบกลับไปว่า
"เออ ไม่ต้องฆ่าใครหรอก เอาไว้ทั้ง 2 คน นั่นแหละ"
จากนั้นหลวงปู่ท่านก็ใช้วิชชาธรรมกายช่วยชีวิต ปรากฎว่า อยู่ๆคุณประทุมก็มีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างประหลาด จนหมอตัดสินใจไม่ทำแท้ง และสุดท้ายก็รอดชีวิตอย่างที่หลวงปู่บอกจริงๆ


นอกจากเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยแล้ว คนที่มีปัญหาเรื่องการคลอดลูกยาก ก็จะมากราบขอบารมีหลวงปู่ เขาก็จะเอากล้วยน้ำว้าำไปถวายให้หลวงปู่ท่านซ้อนวิชชาธรรมกายให้ เมื่อหลวงปู่รับไปแล้ว ท่านก็เอาไปไว้ในมือท่าน จากนั้นท่านก็หลับตานิ่งๆครู่เ้ดียว แล้วก็ส่งกล้วยน้ำว้าคืน เพื่อเอาไปให้คนที่จะคลอดลูกกิน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลกมาก คือ พอคนใกล้คลอดกินกล้วยน้ำว้าที่หลวงปู่ซ้อนวิชชาธรรมกายไปเท่านั้นเอง ปรากฎว่า คลอดลูกง่ายมากๆเพราะแค่รู้สึกปวดท้องนิดๆก่อนคลอดเท่านั้น และก็คลอดปรื้ดออกมาเลย ซึ่งวิชชาธรรมกายของหลวงปู่สามารถทำได้เกินกว่าศาสตร์ของแพทย์จะหยั่งถึง


อานุภาพหลวงปู่...ยุคต้นวิชชา เห็นพระธรรมกายด้วยตาเนื้อ ณ น่านฟ้าวัดปากน้ำ



เรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ของพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) เป็นที่โจษขานกันเป็นอย่างมาก ซึ่งจะถือว่าเป็นเรื่องทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ (Talk of the Town) ในช่วงนั้นก็ได้ เพราะสมัยที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ หนังสือพิมพ์ก็ได้ตีพิมพ์รูปของท่าน และเรื่องราวความมหัศจรรย์ในวันวิสาขบูชา จนกลายเป็นความฮือฮาที่แพร่สะพัดไปทั่วประเทศ โดยเล่าถึงการปรากฏของพระพุทธเจ้าบนท้องฟ้า ในวันเวียนเทียนสมโภช ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีการตีพิมพ์เรื่องราวของท่านลงหนังสือพิมพ์ หลวงปู่ก็มีกิตติศัพท์เลื่องลือกึกก้องว่า ท่านเป็นพระที่เก่งในทางวิปัสสนามากถึงระดับที่ว่า สามารถอาราธนาพระพุทธเจ้าในอายตนนิพพานมาให้เห็นด้วยตาเนื้อแบบจะๆ ซึ่งเรื่องราวนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเป็นประจำในพิธีเวียนเทียนในวันวิสาขบูชา และวันมาฆบูชา
ในช่วงพิธีเวียนเทียน ตั้งแต่เวลาหกโมงเย็น หลวงปู่จะให้พวกที่ทำวิชชาทั้งหมดมาพร้อมกันที่โรงงานทำวิชชา แม้ว่าช่วงเวลานั้นจะไม่ใช่เวรของตนก็ตาม จากนั้นก็ใช้วิชชาธรรมกายช่วยกันอาราธนาพระธรรมกายให้มาปรากฏเหนือน่านฟ้าวัดปากน้ำ อีกทั้งยังกลั่นแก้ธาตุธรรมของผู้มาเวียนเทียนให้สะอาดบริสุทธิ์ และเปิดเห็น จำ คิด รู้ เพื่อให้เห็นพระธรรมกาย ซึ่งผู้ที่จะเห็นปรากฏการณ์นี้ได้นั้น จะต้องอยู่ในอาการสงบ สำรวมกาย วาจา ใจ ต้องทำจิตให้เป็นสมาธิในขณะเวียนเทียนด้วย ซึ่งในแต่ละปี ก็จะมีสาธุชนจำนวนมากได้เห็นพระปฏิมากรลอยอยู่เหนือน่านฟ้า ปางสมาธิบ้าง ปางประทานพรบ้าง บางคนก็เห็นองค์พระจำนวนมหาศาลลอยอยู่เต็มท้องฟ้า ซึ่งพอเห็นแล้วก็ปีติขนลุกชูชัน จนบางคนถึงกับปล่อยโฮร้องไห้ออกมาด้วยความดีอกดีใจ หรือบางคนแม้เลิกเวียนเทียนแล้ว ขณะนั่งเรือจ้างออกจากวัดไปถึงท่าน้ำตลาดพลู แต่พอเหลียวหลังกลับไปดูเหนือพระอุโบสถ ก็ยังสามารถเห็นพระพุทธเจ้าแก้วใสลอยอยู่เหมือนเดิม
เรื่องนี้มีพยานที่มีตัวตนจริงที่ได้พบเห็นเป็นจำนวนมากมาย อีกทั้งยังมีหลักฐานอยู่ในหนังสือของหลวงภูมินาถสนิท (สืบ ตังครัตน์) ซึ่งเป็นมหาดเล็กคนโปรดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ว่า... “ครั้งหนึ่งก่อนวันวิสาขบูชา พ.ศ.2489 ข้าพเจ้าได้รับคำบอกเล่าจากหลวงพ่อวัดปากน้ำว่า พิธีเวียนเทียนในวันวิสาขบูชาปีนี้ หลวงพ่อได้อาราธนา อัญเชิญเสด็จพระพุทธองค์ ให้เสด็จมาปาฏิหาริย์ มาทรงเป็นประธานในพิธีด้วย ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตรวม 300 คน เดินเวียนไปจวนจะครบสามรอบ มีอุบาสกผู้หนึ่งเอะอะขึ้นว่า เขาเห็นพระพุทธนิมิตปาฏิหาริย์ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า และชี้ให้ทุกคนดูในขณะนั้น”
...และที่น่าทึ่งมากไปกว่านั้น มีบุคคลที่ไม่เชื่อและไม่ศรัทธา เดินทางมาพิสูจน์เป็นจำนวนมาก เช่น คุณสุธรรม จันทร์กลัด อดีตผู้พิพากษา หัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ ซึ่งได้กล่าวยืนยันว่า ปกติท่านเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ถึงขนาดทักท้วงว่า พระพุทธเจ้า ท่านเสด็จปรินิพพานไปนานถึง 2,500 กว่าปีแล้ว ทำไมยังสามารถเสด็จมาให้เห็นได้อีก และด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ท่านเดินทางไปพิสูจน์ โดยพาภรรยา คือ คุณพะยอม ไปเวียนเทียนด้วยกัน และสุดท้ายก็ได้เห็นปาฏิหาริย์เหนือน่านฟ้าจริงๆด้วยตาตัวเอง และทันทีที่เห็น ท่านก็รีบคุกเข่ากราบลงกับพื้นพระอุโบสถวัดปากน้ำทันที 3 ครั้ง จากนั้นก็รีบตรงเข้าไปในพระอุโบสถ แล้วไปก้มกราบที่หน้าตักของหลวงปู่ ทั้งที่ขนยังลุกซู่ไม่หาย แล้วก็ตั้งจิตอธิษฐานฝากเนื้อฝากตัว ขอให้ได้เกิดมาเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ทุกชาติ
หรือแม้แต่ คุณโชติ วนิกเกียรติ เดิมเป็นคนที่ไม่เลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่วัดปากน้ำเลย ถึงขนาดพูดกับพี่สาวของตัวเอง คือ คุณชัช วินิกเกียรติ ที่มาวัดปากน้ำเป็นประจำว่า วัดใกล้ๆบ้านก็มี ทำไมต้องไปทำบุญที่วัดปากน้ำด้วย เป็นเพราะติดใจพระรูปใดรูปหนึ่ง หรือถูกหลวงปู่หลอกหรือเปล่า... แต่พอคุณโชติได้เดินทางมาพิสูจน์ และได้มาเห็นปาฏิหาริย์เหนือน่านฟ้าในวันเวียนเทียนด้วยตาตัวเองแบบจะๆ ก็เลยเข้าใจ และรีบเข้าไปขออนุญาตกราบที่เท้าหลวงปู่ เพื่อขออโหสิกรรมที่เข้าใจผิด และหลังจากนั้น คุณโชติก็เปลี่ยนใจหันมาเข้าวัด ปฏิบัติธรรม และกลายเป็นอุปัฏฐากวัดปากน้ำ โดยมาทำบุญถวายน้ำอ้อยแด่หลวงปู่อยู่เป็นประจำ...
จากปรากฏการณ์เหนือน่านฟ้านี้เอง เป็นการประกาศอนุภาพของพระรัตนตรัย และยกใจมหาชนผู้ที่ยังไม่เลื่อมใส ให้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา หรือที่เลื่อมใสแล้ว ให้เกิดความเลื่อมใสยิ่งๆขึ้นไป ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงปู่ได้ดำเนินรอยตามการประกาศธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงใช้วิธีการสอนอยู่ 3 อย่าง ที่เรียกว่า “ปาฏิหาริย์ 3” เพื่อลดทิฐิมานะผู้เห็นผิดให้กลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ซึ่งปาฏิหาริย์ 3 อย่าง ได้แก่
  • อิทธิปาฏิหาริย์ คือ การแสดงฤทธิ์ที่พ้นวิสัยของสามัญมนุษย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์
  • อาเทสนาปาฏิหาริย์ คือ การดักใจทายใจคนได้อย่างน่าอัศจรรย์
  • อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ คำสั่งสอนจูงใจคนให้นิยมเชื่อถือตามได้อย่างน่าอัศจรรย์
ดังในครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ตอนที่เสด็จไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และเสด็จกลับลงมาในวันมหาปวารณา ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้พุทธานุภาพเปิดโลกทั้งสาม ทำให้มนุษย์และเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลาย สามารถมองเห็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นฟ้าที่มาส่งพระองค์ ซึ่งเป็นเหมือนกองทัพชาวสวรรค์ที่เลื่อนลอยลงมาจากนภากาศ มีความยิ่งใหญ่ประดุจพระเจ้าจักรพรรดิเสด็จออกยาตราทัพ โดยเหล่าเทวดาได้ลงมาทางบันไดทอง มหาพรหมลงมาทางบันได้เงิน ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงทางบันไดแก้วมณี ขณะนั้นพระองค์ทรงเปล่งรัศมีสว่างไสวเรืองรองไปทั่วโลกธาตุ ทำให้เหล่าสรรพสัตว์ที่อยู่บนโลกทั้งสาม คือ สวรรค์, มนุษย์, และนรก สามารถเห็นกันและกันในเวลาเดียวกัน ทั้งเทวดา, มนุษย์, สัตว์นรก, สัตว์เดียรัจฉาน, อสุรกาย ต่างเห็นกันและกันด้วยตาเนื้อเป็นอัศจรรย์ด้วยพุทธานุภาพ ซึ่งเมื่อสรรพสัตว์เห็นความอัศจรรย์เช่นนี้แล้ว ก็ต่างเกิดมหาปีติ พากันตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า เพราะเห็นพุทธานุภาพนั้น อีกทั้งบางคัมภีร์ยังกล่าวไว้ว่า แม้แต่มดซึ่งเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ยังมีความรู้สึกนึกคิดปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าด้วย
จาก หนังสืออานุภาพหลวงปู่..ยุคต้นวิชชา 
พิมพ์วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕

คุณยายมองการณ์ไกล


มองการณ์ไกล
ยายมองการณ์ไกล คนเราตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ เอาไปได้แต่บุญกับบาป ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ ให้เราทำแต่ความดี สะสมเอาไว้เยอะ ๆ ใครเขาจะว่าอย่างไรให้เฉย ๆ ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง มันจะรู้ตอนตาย
คนเราตายแล้วต้องเกิดใหม่ ตายแล้วไม่สูญ ใครเขาจะว่าอะไรก็ช่าง เราเฉย ๆ อย่าไปทะเลาะกับเขา ไม่มีประโยชน์
มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง
๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๕